SUVARNABHUMI AIRPORT
สุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานนานาชาติของไทย
สุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานนานาชาติของไทย
กับ
KLIA Kuala Lumpur International Airport
ท่าอากาศยายนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
ความทันสมัย ความสะดวกสบาย ต่างกันบ้างไหม
อะไรที่เราดีกว่าเขา และอะไรที่เขาดีกว่าเรา
ภาพแรก - 2 SUVARNABHUMI AIRPORT
ภาพ 3 - 4 KLIA Kuala Lumpur International Airport
3.
4.
ช่วงนี้มีธุระต้องไปสนามบินสุวรรณภูมิบ่อยหน่อย (เมื่อ 1 กรกฎาคม 2013 ก็เพิ่งไปมาอีกรอบ) และมีโอกาสไปกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียเป็นครั้งแรกในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
จึงถือโอากาสเอารูปเปรียบเทียบระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิ กับสนามบิน KLIA มาดูค่ะ
ก่อนอื่น ช่วยสุวรรณภูมิประชาสัมพันธ์เรื่องที่จอดรถเล็กน้อยค่ะ
การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ปรับเปลี่ยนเส้นทางเข้าอาคารลานจอดรถมาตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2013 ค่ะ เรื่องนี้หลายท่านอาจจะทราบแล้ว แต่ก็มีอีกหลายท่านที่ยังไม่ทราบและรู้สึกสับสนกับเรื่องที่จอดรถ
บังเอิญฉันเจอแต่เรื่องปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลง หลายเรื่องติดกันในช่วงนี้
เมื่อวันที่ 29 เมษายน ไปรับคนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ยังใช้ทางเข้าที่จอดรถอาคาร 2 - 3 ที่ชั้น 5 อยู่เลย
วันที่ 2 พฤษภาคม ถัดมาอีก 3 วัน ดิฉันไปใช้บริการที่จอดรถสุวรรณภูมิอีก เขาเปลี่ยนให้เข้าที่ชั้น 1 แทนการเข้าที่ชั้น 5 เสียแล้ว
วันนั้นทำเอางงๆ สับสนเหมือนกัน เพราะป้ายบอกทางตอนนั้นเป็นป้ายชั่วคราว ไม่ชัดเจน ขับเลยอาคารจอดรถ 2 ไปเลย
ด้วยความเคยชิน และสะดวกในการใช้ทางข้ามเข้าไปในสนามบิน ดิฉันก็ยังคงหาทางขับขึ้นไปจอดที่ชั้น 5 เหมือนเคย แต่ป้ายบอกทางสับสนมาก ( ณ ตอนนั้น )
วันที่ 1 กรกฎาคม ผ่านมา 2 เดือน ไปใช้อาคารจอดรถอีก 2 รอบ ก็เห็นป้ายบอกทางและการจัดการเดินรถภายในอาคารจอดรถก็ยังคงสับสนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจากสองเดือนที่แล้ว
มีคนใช้บริการไม่น้อย ที่งงกับป้ายบอกทาง และหลงเข้าไปจอดในลานจอดรถที่ตากแดดโดยไม่ตั้งใจ
การเปลี่ยนแปลงเรื่องที่จอดรถนี้ ก็สืบเนื่องจากความขัดแย้งของ ทอท. กับ บริษัท ปาร์คกิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด ทำให้ ทอท. ต้องเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตู้จ่ายบัตรจอดรถตรงช่องทางขาเข้าของลานจอดรถและอาคารจอดรถ ณ ทสภ. แทนบริษัท ปาร์คกิ้งฯ ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2556
ตอนนี้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิปรับเส้นทางให้เข้าอาคารจอดรถจากข้างล่าง (ชั้น 1 ตามภาพข้างล่างนี้) แล้วค่ะ
โดยปรับเปลี่ยนเส้นทางเข้าอาคารและลานจอดรถจากจุดเดิมที่อยู่ฝั่งตรง ข้ามอาคารสำนักงาน ทสภ. ไปเข้าทางด้านหลังของอาคารจอดรถและลานจอดรถ ซึ่งอยู่ตรงข้ามอาคารผู้โดยสารแทน พร้อมกับปิดทางเข้าชั้น 5 ซึ่งเชื่อมต่อจากทางยกระดับเป็นการชั่วคราว (ถึงตอนที่เขียนอยู่นี้ ไม่รู้มีการปรับเปลี่ยนอีกหรือไม่)
ให้ขับมาทางภาพข้างล่างนี้แล้วเลี้ยวขวาเข้าอาคารที่จอดรถ
จากเว็บไซต์ http://www.suvarnabhumiairport.com/detail_news_232_th.php
...........................................................................
จบเรื่องที่จอดรถแล้ว ก็เข้าเรื่อง มาดูในสนามบินสุวรรณภูมิกันต่อค่ะ
วันที่ 29 เมษายน ไปรอรับคนที่้สนามบินนานาชาติสุรรณภูมิ บังเอิญเครื่องดีเลย์เป็นชั่วโมง ก็เลยถ่ายรูปรอไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลง (ความจริงก็เปลี่ยนมาปีกว่าแล้ว จากการเรียกร้องของสมาคมท่องเที่ยวจีน) ก็คือ มีข้อความภาษาจีนตามป้ายต่างๆ ในสนามบินเพิ่มขึ้น (รองรับนักท่องเที่ยวที่ใช้ภาษาจีนซึ่งมีจำนวนมากขึ้น ทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลย์ สิงคโปร์ ฯลฯ ) เรื่องป้ายข้อความภาษาจีนในสนามบิน KLIA ที่กัวลาลัมเปอร์ เขามีมานานแล้ว
นี่เป็นความแตกต่างเรื่องแรก เป็นสิ่งที่เขาทำนานแล้วแต่เราเพิ่งทำ
อาจารย์ปัญญา เรืองวงศา ซึ่งเป็นผู้ประสานงานด้านภาษาจีนให้กับหน่วยงานไทยระดับสูงหลายหน่วยงานเล่าให้ดิฉันฟังค่ะว่า การที่มีข้อความภาษาจีนเพิ่มขึ้นนี้ เกิดจากตอนที่สมาคมการท่องเที่ยวของจีนมาประชุมที่เมืองไทย ได้เสนอให้เพิ่มข้อความภาษาจีนเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับ นทท.ชาวจีน ที่สนามบิน จึงได้มีข้อความภาษาจีนในเวลาต่อมาค่ะ
นักเรียนของเหล่าซือคนนึงที่ไปทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาจีนประจำสุวรรณภูมิก็เล่าว่าคนจีนมากันเยอะมาก มี นทท.จีนที่หลงจากกลุ่มบ่อยๆ การมีข้อความภาษาจีนในสนามบินนานาชาติจะช่วยได้มาก
ก็เห็นว่า มีดีกว่าไม่มี เพราะเป็นภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลกปัจจุบัน การเพิ่มอีก 1 ภาษาไม่ได้ทำให้เราเสียอะไร
สนามบินสุวรรณภูมิมีการใช้เครื่องสแกนนิ้วมือที่ทันสมัย แทน การผ่านตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เริ่มใช้มาตั้งแต่เมษายน 2012 (ถ้าหนังสือเดินทางทำใหม่ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ยังใช้กับเครื่องสแกนนิ้วมือนี้ไม่ได้ค่ะ)
แต่ที่สนามบิน KLIA มาเลเซียยังไม่ได้นำเครื่องมือแบบนี้มาใช้ค่ะ
นี่เป็นเรื่องที่สอง ที่แตกต่างกันค่ะ สุวรรณภูมิมีเครื่องสแกนนิ้วมือแล้ว แต่ KLIAเขายังไม่มี (เขาอาจคิดว่าเอาเงินภาษีไปเพิ่มรายได้ให้คนดีกว่าเอาไปซื้อเครื่องจักรก็ำได้นะคะ)
ผู้โดยสารขาออกที่สุวรรณภูมิ พอผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองไปแล้ว ก็จะเห็นภาพประติมากรรมแบบฮินดู (ดิฉันเข้าใจถูกหรือเปล่าคะ) ก่อนที่จะแยกเดินไปขึ้นเครื่องซ้ายขวาค่ะ
เครื่องการบินไทยเดินไปทางหัวนาคค่ะ แต่ประตูขึ้นเครื่องการบินไทยมักจะต้องเดินไปไกลมาก
ดิฉันถามพนักงานการบินไทยที่เคาร์เตอร์ว่าเพราะอะไร
อย่างที่สนามบินดอนเมืองก็เหมือนกัน ประตูขึ้นเครื่องของนกแอร์ก็ต้องเดินไกลกว่าแอร์เอเชีย
ก็ได้รอยยิ้มจากพนักงานการบินไทยเป็นคำตอบค่ะ
เดินต่อมาก็ห้องน้ำค่ะ ห้องน้ำตรงนี้สวยและหรูค่ะ นี่หน้าห้องน้ำนะคะ
ดูตลกนะ ที่เรายืนถ่ายรูปอยู่หน้าห้องน้า
เห็นว่าลวดลายสวยงามมาก
แม้แต่ภายในห้องน้ำ สังเกตว่าข้างในห้องน้ำแต่ละห้องยังมีภาพเกี่ยวกับไทยๆ ประดับไว้สวยงาม
ที่สนามบินดอนเมืองคนละเรื่องกันเลยนะคะ เริ่มมีคนบอกว่าสนามบินดอนเมืองเริ่มจะเหมือน บขส.แล้ว
เปรียบเทียบห้องน้ำแล้ว อาคารผู้โดยสารขาออกส่วนนี้ สนามบินสุวรรณภูมิดีกว่าที่กัวลาฯ ค่ะ
นี่เรื่องที่สามนะคะ เรื่องจิ๊บจ๊อยหน่อย
เดินจนถึงประตูขาออกแล้ว ก็ต้องนั่งรอรถมารับขึ้นเครื่องอีกพักใหญ่ ขึ้นรถลีมูซีนของการบินไทยแล้ว ยังต้องนั่งรถชมวิวภายในสนามบินไปอีกไกลพอสมควร จึงจะถึงตัวบันไดขึ้นเครื่องการบินไทย
วันเดินทางออกไป ลงจากรถลีมูซีนก็เจอแดดที่ร้อนมากๆ ประมาณ 40 องศามั้ง ( 2 พ.ค. 2013 ช่วงร้อนระอุของกรุงเทพฯ) ขึ้นเครื่องเจอแอร์เย็นๆ คืนนั้นไข้ขึ้นเลย สว. ปรับตัวไม่ทัน
ขากลับก็เป็นแบบนี้ อยู่ในห้องโดยสาร Boeing 777 - 300 ER เครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด ทันสมัยที่สุดของการบินไทยที่เย็นฉ่ำออกมาก็ปะทะกับความร้อนตรงบันไดเครื่องทันที
อ้าว นี่ช่วยการบินโปรโมทเครื่องเหรอ
ส่วนที่สนามบิน KLIA กัวลาลัมเปอร์ พอเครื่องไปจอดเทียบ ก็เดินออกจากงวงเข้าไปในตัวอาคารที่ยังไม่ต้องปรับอุณหภูมิมากนัก ขาออกก็เหมือนกัน พอออกจากประตูขาออกก็เดินเข้างวงต่อเข้าไปในเครื่องบินเลย
นี่เป็นความแตกต่างเรื่องที่สี่ ที่เห็นว่าสนามบินของเขามีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่าเราในระบบทางเชื่อมขึ้นลงเครื่องบิน (ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ใหญ่ที่สุด)
เขามีแล้ว แต่เรายังไม่มี หรือมีไม่พอ เรื่องนี้ไม่จิ๊บจ๊อย เพราะทำเหล่าซือป่วย
ทีนี้ดูเวลาบินบ้าง บินจากกรุงเทพฯ ไป กัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงมาเลเซีย
โดยเครื่อง Boeing 777 - 200 ER
ระยาง 1220 กม. ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 40 นาทีค่ะ ชมวิวถ่ายรูปไป ไม่สนใจดูหนัง แป๊บเดียวก็ถึงซะแล้ว
ภาพปากน้ำ อ่าวไทย ตอน 5 โมงเย็น สวยมากนะคะ เสียดายที่ไม่มีกล้องดีๆ มีแต่กล้องอัตโนมัติ
แม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงสู่อ่าวไทย Gulf of Thailand
ภาพนี้แถวกรุงเทพฯ นี่แหละ
วันนั้นผู้โดยสารน้อยเป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะอะไร ตั้งแต่เดินทางมาไม่เคยเจอเที่ยวบินคนน้อยอย่างนี้มาก่อนเลย
เป็นเที่ยวบินออกจากกรุงเทพฯ 16.40 ถึงสนามบิน KLIA ก็มืดแล้ว กว่าจะนั่งรถเข้าตัวเมืองกัวลาฯ อีก 60 กม. ไปถึงก็ดึกแล้ว กว่าจะเช็คอิน เอาของไปเก็บ ออกไปหาของกินก็เกือบ 5 ทุ่ม ซึ่งเวลาท้องถิ่นของมาเลเซียเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงค่ะ
เขียนเรื่องเปรียบเทียบสนามบิน แต่ขอแถมเรื่องบรรยากาศในเครื่องและอาหารบนเครื่องหน่อยค่ะ เป็นรสชาติของการเดินทาง
เหล่าซือซื้อตั๋วราคาพิเศษ ราคา 8000 บาท ก็ต้องนั่งหลัง แต่เขาว่านั่งหลังปลอดภัยกว่านะ
จองที่นั่งท้ายๆ เครื่องไว้ล่วงหน้า ต้องการที่นั่งที่เลยปีกเครื่องบินไป เวลาถ่ายรูปจะได้ไม่ติดปีก
ไม่เคยเจอเครื่องโล่งอย่างนี้มาก่อนเลย ดีเลย ถ่ายรูปสะดวก แต่เสียดายน้ำมันและพลังงานลึกๆ
วันนั้นเจอพนักงานบนเครื่องน่ารัก บริการเราอย่างดี แต่ขากลับคนเต็มลำเลยค่ะ
เราแจ้งไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ตอนออกตั๋วว่าผู้โดยสารไม่ทานเนื้อ
อีกคนแพ้อาหารทะเล
อีกคนแพ้อาหารทะเล
การบินไทยก็เตรียมอาหารพิเศษให้ อร่อยค่ะ แกงเขียวหวาน ผัดฟักทอง
ขนมหวานก็อร่อยค่ะชิ้นนี้ ขาไปขากลับขนมแบบเดียวกัน
ถึง KLIA แล้วค่ะ
สนามบินที่นี่ต่างจากสุวรรณภูมิ ตรงที่ผู้โดยสารขาเข้าขาออกใช้ทางเดินเดียวกัน
ไม่เหมือนสุวรรณภูมิที่แยกไปคนละชั้น
นี่เป็นความแตกต่างเรื่องที่ห้าค่ะ
ก่อนจะรับกระเป๋าสัมภาระ จะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าภายในสนามบินที่เชื่อมระหว่างสองอาคาร (เหมือนที่สนามบินนานาชาติปักกิ่ง)
เรื่องนี้ก็เป็นความแตกต่างระหว่างสุวรรณภูมิกับ KLIA
เขามีรถไฟฟ้าใช้ในสนามบิน แต่สุวรรณภูมิใช้ระบบรถลีมูซีนขนส่งผู้โดยสารไปขึ้นเครื่อง
นี่เป็นข้อแตกต่างเรื่องที่หกค่ะ
เขียนยาวไปหน่อย ค่อยมาเล่าต่อดีกว่าค่ะ คราวหน้ามาดูว่ายังมีอะไรที่แตกต่างกันอีกหรือเปล่า
สรุปสั้นๆ ก่อนจบเอนทรี่นี้ เผื่อคนที่ไม่มีเวลาอ่านมากค่ะ
ความแตกต่างที่เห็นและเล่ามาตอนนี้ก็มี
1. ป้ายข้อความภาษาจีนในสนามบิน
2. เครื่องสแกนรอยนิ้วมือ เพื่อผ่านด่าน ตม.
3. ห้องน้ำ
4. ระบบต่อเชื่อมให้ผู้โดยสารขึ้นลงเครื่อง
5. การจัดระบบทางเดินของผู้โดยสารขาเข้า - ขาออก
6. ระบบขนส่งรถไฟฟ้าภายในสนามบิน
ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ
ขนมหวานก็อร่อยค่ะชิ้นนี้ ขาไปขากลับขนมแบบเดียวกัน
ถึง KLIA แล้วค่ะ
สนามบินที่นี่ต่างจากสุวรรณภูมิ ตรงที่ผู้โดยสารขาเข้าขาออกใช้ทางเดินเดียวกัน
ไม่เหมือนสุวรรณภูมิที่แยกไปคนละชั้น
นี่เป็นความแตกต่างเรื่องที่ห้าค่ะ
ก่อนจะรับกระเป๋าสัมภาระ จะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าภายในสนามบินที่เชื่อมระหว่างสองอาคาร (เหมือนที่สนามบินนานาชาติปักกิ่ง)
เรื่องนี้ก็เป็นความแตกต่างระหว่างสุวรรณภูมิกับ KLIA
เขามีรถไฟฟ้าใช้ในสนามบิน แต่สุวรรณภูมิใช้ระบบรถลีมูซีนขนส่งผู้โดยสารไปขึ้นเครื่อง
นี่เป็นข้อแตกต่างเรื่องที่หกค่ะ
เขียนยาวไปหน่อย ค่อยมาเล่าต่อดีกว่าค่ะ คราวหน้ามาดูว่ายังมีอะไรที่แตกต่างกันอีกหรือเปล่า
สรุปสั้นๆ ก่อนจบเอนทรี่นี้ เผื่อคนที่ไม่มีเวลาอ่านมากค่ะ
ความแตกต่างที่เห็นและเล่ามาตอนนี้ก็มี
1. ป้ายข้อความภาษาจีนในสนามบิน
2. เครื่องสแกนรอยนิ้วมือ เพื่อผ่านด่าน ตม.
3. ห้องน้ำ
4. ระบบต่อเชื่อมให้ผู้โดยสารขึ้นลงเครื่อง
5. การจัดระบบทางเดินของผู้โดยสารขาเข้า - ขาออก
6. ระบบขนส่งรถไฟฟ้าภายในสนามบิน
ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
KLIA กัวลาฯ มีระบบ Airport Coach เชื่อมต่อเข้ากับท่าอากาศยาน (คลิกอ่านที่นี่ค่ะ)
http://suwannas.blogspot.com/2013/07/klia-airport-coach.htmlติ๋มซำกวางตุ้ง มื้อที่อร่อยสุดมื้อหนึ่งในเมืองอีโปร์ 怡保市广东式点心 DIMSUM @IPOH Malaysia (คลิกอ่านที่นี่ค่ะ)
http://suwannas.blogspot.com/2013/07/dimsum-ipoh-malaysia.html
อีโปห์ IPOH 怡保 Malaysia เมืองอาหารเลิศรส (美食城) เมืองแห่งภูเขา (山城) แนะนำที่ัำพัก
http://suwannas.blogspot.com/2013/07/ipoh-m (คลิกอ่านที่นี่ค่ะ)
http://suwannas.blogspot.com/2013/07/ipoh-m (คลิกอ่านที่นี่ค่ะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น