หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

เขาใหญ่ KHAOYAI ร้านอาหาร ที่ถ่ายรูป



พูดถึงไปเที่ยวเขาใหญ่แล้ว เรานึกภาพถึงอะไรกันบ้าง
นึกถึงธรรมชาติบนเทือกเขาดงพญาไฟ  ต้นไม้สีเขียว  น้ำตกเหวสุวัต  สัตว์ป่า การส่องสัตว์
นึกถึงการกางเต๊นท์นอนบนอุทยานท่ามกลางอากาศหนาวเย็น
นึกถึงบรรยากาศฝรั่งแบบคาวบอย country 
นึกถึงร้านอาหารฝรั่ง สเต็ค  สปาเก็ตตี้ 
นึกถึงรีสอร์ทเลียนแบบสไตล์ฝรั่งน่ารักๆ  รีสอร์หรูๆ ใหญ่ๆ
นึกถึงไร่องุ่น น้ำองุ่นและไวน์



 ปัจจุับัน หลายๆ คนพูดถึงเขาใหญ่ จะนึกถึงสถานที่ถ่ายรูป ที่จะเอามาโพสต์ในเน็ต  
เขาใหญ่  มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ธุรกิจรีสอร์ท ร้านอาหาร กิจกรรม มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 
มิติการเที่ยวเขาใหญ่จึงเปลี่ยนไป และมีกลุ่มนักท่องเที่ยวหลากหลายแบบ
ธุรกิจก็ปรับตัวรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินป่าชมธรรมชาติ

ถนนธนะรัชต์ - ถนนเส้นหลักในการขึ้นเขาใหญ่จากด้านปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา  มีการขยายเลนกว้่างขึ้น  ร้านอาหารใหม่ๆ ก็เพิ่มขึ้น

รีสอร์ทและร้านอาหารต่างแข่งขันกันสร้างจุดขายโดยการเน้นตัวสิ่งก่อสร้างหรือของตกแต่ง  เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไปถ่ายรูป
เอาใจตลาดคนเมืองปัจจุบันที่นิยมเอารูปไปโพสต์ลงสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็ว
ร้านอาหารแต่ละแห่งของเขาใหญ่  จึงต้องมีบริการอินเตอร์เน็ต WIFI ให้วัยรุ่นไปกด check - in  ซึ่งช่วยให้ร้านอาหารนั้นๆ ได้รับการโปรโมทในโลกออนไลน์โดยไม่ต้องเสียตังค์ค่าโฆษณา

แต่ธุรกิจที่เขาใหญ่ ก็มีขึ้นมีลง  บางธุรกิจเปิดได้ไม่นานก็ปิดตัวไป เช่น Primo Posto  ซึ่งเปิดตัวในปี 2550 (ปิดตัว 2554) ตอนเปิดตัวมีการโปรโมทผ่านสื่อต่างๆ  ผู้คนแห่กันไปชม ไปถ่ายรูป ช่วงนั้น ใครไปเขาใหญ่ ก็ต้องไปถ่ายรูปที่ Primo Posto มาโพสต์อวดกัน
ธันวาคม 2552  ครอบครัวดิฉันไปเที่ยวเขาใหญ่ ก็ไปถ่ายรูปที่นั่นด้วย  ตอนนั้นคนแน่นมากๆ  ร้านอาหารข้างในไม่มีโต๊ะว่างเลย  ไม่รู้ผู้คนมาจากไหนกัน บูมจริงๆ
ผ่านไปแค่ไม่กี่ปี  สิงหาคม 2555  ดิฉันผ่านไปอีกครั้ง  สิ่งที่มองเห็นข้างหน้าก็คือ  ตึก Primo Posto ที่ถูกทิ้งให้รกร้าง  ต้นไม้แห้งเฉา  ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่คนเดียว เงียบเหงา เทียบกับภาพเมื่อ 3 ปีก่อนแล้วแทบไม่น่าเชื่อ  Primo Posto ที่เคยคึกคักกลายเป็นอดีตไปแล้ว 
นักท่องเที่ยวปัจจุบันจะแห่ไปถ่ายที่ปาลิโอ  ซึ่งได้ข่าวว่าเป็นธุรกิจส่วนหนึ่งในเครือช่อง 3 แทน
ก่อนหน้านี้มีดารา - นางแบบมาถ่ายแบบที่นี่กัน  คนก็เลยนิยมตามรอยดารามา
ดิฉันได้รับคำแนะนำว่าข้างในปาลิโอมีร้านอาหารบางร้านอร่อย  แต่พอไปถึงปาลิโอในเดือนสิงหาคม 2555 กลับพบว่าร้านอาหารนั้นได้ปิดตัวไปเสียแล้ว

แต่ร้านอาหารที่เปิดใหม่ไม่นานแต่มาแรงอย่าง " Smoke House บ้านรมควัน " กลับคึกคักอย่างมาก  คิวยาวมากๆ กลายเป็นแหล่งใหม่ที่คนนิยมไปถ่ายรูปมาอวดกัน  ด้วยสิ่งก่อสร้างสีควันแบบเทาๆ และด้วยสนนราคาอาหารที่แพงกว่าร้านอื่น (นี่เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้คนอยากโพสต์  อย่างน้อยก็แสดงว่าเป็นคนทันสมัย มาชิมร้านใหม่ร้านแพง ใช้ไอโฟนถ่ายรูปอัพขึ้นเฟชได้ทันที)  นอกจากโพสต์รูปไม่เสียงตังค์แลัว ยังอัพราคาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าในร้านได้ด้วย


 (ภาพ  The Smoke House บ้านรมควัน เขาใหญ่)



การเดินทาง  " The Smoke House บ้านรมควัน " เห็นได้ชัดเจนจากทางขึ้นเขาใหญ่ด้านปากช่อง ด้านขวาริมถนนธนะรัชต์  ระหว่างทางขึ้นเขาใหญ่  เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผู้คนแห่กันไปถ่ายรูป โดยตามรอยภาพที่ลงกันในสังคมออนไลน์ เช่น facebook



         สิ่งที่ทำให้เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว และดึงดูดวัยรุ่นทั้งหลาย  คิดว่าส่วนสำคัญมาจากการออกแบบสิ่งก่อสร้างที่แปลกตา  และการตั้งราคาอาหารที่ดึงลูกค้ากลุ่มกำลังซื้อสูง เมนูสเต็คเริ่มต้นที่ราคาที่ละ 700 - 800 กว่าบาท  ที่ปานกลางก็ทีละ 1000 กว่าบาท  ซึ่งถือว่าแพงมากสำหรับดิฉัน

         ที่นี่เขาจะสร้างทางลาดไว้อำนวยความสะดวกให้กับคนนั่งรถเข็น เช่น คนแก่ คนป่วย ผู้ที่ร่างกายบกพร่อง ฯ

          ดิฉันเรียกว่า บ้านรมควัน ฟังดูเชย  มีคนบอกให้เรียกว่า " Smoke House " จะได้ฟังดูไฮโซหน่อย



(ภาพ  The Smoke House บ้านรมควัน เขาใหญ่)
เราไปถึงที่นั่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดเลย  แต่รถจอดเต็มลานจอดแล้ว  คนเยอะมาก  แขกเต็มทุกโต๊ะ  ไปลงชื่อจองคิวโต๊ะไว้ก่อน  แล้วก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ  



(ภาพ  The Smoke House บ้านรมควัน เขาใหญ่)
วัยรุ่นไปถ่ายรูปกับป้ายชื่อร้าน และ เอกลักษณ์ของสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเวลาเอาไปโพสต์ลงเฟชบุค เพื่อนๆ ก็รู้ว่า อ้อ นี่อยู่เขาใหญ


ฟ้าเริ่มมืด แขกก็ยังทยอยมาเรื่อยๆ ที่จอดรถของบ้านรมควันเต็มแล้ว ต้องจอดข้างถนน



 โต๊ะก็ยังไม่ได้ 







 เข้าไปถามข้างใน  พนักงานบอกว่าสั่งอาหารไว้ก่อนมั๊ย  แต่นี่เรารอมาตั้ง 40 กว่านาทีแล้ว ไปทานที่อื่นดีกว่ามั้ง

ก่อนจะไปที่อื่น เห็นตู้โชว์ไวน์ใบนี้ใน The Smoke House บ้านรมควัน นี้ใหญ่ดี  ก็เลยกดมา 1 รูป ไม่ได้ต้องการสื่ออะไรเป็นพิเศษ
 

ขับรถออกจากบ้านรมควัน จะไปทานร้านอาหารที่ปาลิโอ ซึ่งคุณนันที ใจเิพิ่ม แนะนำไว้  ไปถึงปาลิโอก็หาร้านนั้นไม่เจอ ถามดูถึงรู้ว่าร้านนั้นก็ปิดไปแล้ว  แวะเข้าไปดูแล้วในปาลิโอไม่ค่อยมีอะไรน่าทาน ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา 

สุดท้ายไปทานที่ร้านอาหารไทย "ครัวจันผา" แม่ลาปลาเผา ต้นตำรับจากสิงห์บุรี
ซึ่งอยู่เลยจากปาลิโอไปทางขึ้นเขาอีกประมาณ 1 กม. (ด้านขวามือถ้าขึ้นจากปากช่อง)



 (ภาพ ครัวจันผา เขาใหญ่ ริมถนนธนะรัชต์) ร้านนี้ไม่ได้เน้นทำสถานที่ให้คนถ่ายรูป 
อาหารอร่อยมาก ราคากลางๆ  แขกเยอะมาก เพราะเป็นช่วงเทศกาลวันหยุด 12 สิงหาคม ส่วนมากเป็นกลุ่มครอบครัว 


 สลัดกุ้งทอด ของครัวจันผา  อร่อย  ถ่ายรูปมาไม่ค่อยชัด อาหารอื่นๆ ไม่ได้ถ่ายไว้  เพราะหิวมาก  เสียเวลาไปรอที่อื่นนาน  มาถึงร้านนี้ก็ 2 ทุ่มแล้ว  



 ไก่บ้านทอดเกลือ  ทั้งหมด 4 คน เช็คบิลออกมา 900 กว่าบาท  

ขอพักเรื่องร้านอาหารไว้ก่อน (เดี๋ยวมีต่อ) 
มาดูธุรกิจใหม่ที่เพิ่งเปิดที่เขาใหญ่ได้ไม่นานนี้บ้าง นั่นคือ ธุรกิจให้นักท่องเที่ยวไปเลี้ยงแกะที่ฟาร์มเลี้ยงแกะแบบที่ทำกันในสวนผึ้ง ราชบุรี 



 กิจกรรมให้อาหารแกะ เริ่มถูกบรรจุอยู่ในโปรแกรมทัวร์เขาใหญ่ ของหลายๆ บริษัท
ภาพฟาร์มแกะนี้ถ่ายเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม 2012 เวลาประมาณบ่ายโมง แดดร้อนมาก ลูกไม่ยอมลงจากรถ  บอกว่าสงสารแกะ พวกเค้าชอบที่เย็นๆ  แม่ดูสิ  ขนของมันหนาขนาดนี้ ให้มาตากแดดรับอาหารจากนักท่องเที่ยว  อย่างนี้แกะคงร้อนมาก น่าสงสารแกะมากกว่า  แต่พวกเค้าพูดไม่ได้  และไม่มีทางเลือก   ดิฉันก็เห็นว่าลูกพูดมีเหตุผล



          ตรงข้ามฟาร์มแกะแห่งนี้ คือ ร้านอาหารครัวเขาใหญ่  ที่ครอบครัวเราเคยมาทานตั้งแต่เขายังเป็นร้านเล็กๆ  เพราะคุณเจ็ง ลูกค้าประจำของร้านนี้ เพื่อนร่วมงานของดิฉันแนะนำ

          โดยทราบมาว่า เจ้าของร้านตอนนั้นเจอปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 (สมัยรัฐบาลชวลิต ยงใจยุทธ) ลูกๆ ยังเล็ก เลยตัดสินใจกลับไปเปิดร้านอาหารที่เน้นขายอาหารประเภทสปาเก็ตตี้ 

          ช่วงนั้นเราไปเขาใหญ่บ่อยและจะแวะไปทานที่ร้านนี้ประจำ  ตอนนั้นเจ้าของร้านผู้หญิงยังมีเวลามานั่งคุยกับลูกค้าอย่างเรา เมื่อก่อนทุกครั้งที่ไปครัวเขาใหญ่ ก็จะซื้อหมูยอของเขาติดมือกลับมาฝากเพื่อนบ้านด้วย  เพราะของเขาทำอร่อย และเราก็ชื่นชมคนสู้ชีวิตอย่างครอบครัวนี้  อยากสนับสนุนธุรกิจสุจริตของคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤษเศรษฐกิจ 

          เวลาผ่านไปหลายปี จนเราไปครัวเขาใหญ่ปี 2553  พบว่าร้านนี้ขยายใหญ่โตขึ้นมาก ลูกค้าเยอะจนไม่มีโต๊ะนั่ง  และต้องรออาหารเป็นเวลานาน  แถมราคาอาหารก็ปรับขึ้นไปสูงมาก  เจ้าของร้านจำลูกค้าแบบเราไม่ได้แล้ว



 อีกที่หนึ่งที่เวลาเราไปเขาใหญ่แล้วขากลับชอบไปแวะ ก็คือ PREMIUM OUTLET เขาใหญ่ แหล่งซ็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนม ลด 20% - 70% 

เรามักจะได้เสื้อผ้าชุดทำงาน เสื้อเชิ๊ต เสื้อยืด รองเท้า ฯลฯ  คุณภาพดี ราคาถูกติดมือกลับมาใช้งานได้อีกเป็นปีเสมอ

เด็ก ๆ ก็จะได้เสื้อเก๋ๆ สวยๆ  ที่ปกติในห้างขายตัวละหลายร้อย ในราคา 100 , 150 , 200  



 PREMIUM OUTLET  อยู่ริมถนนมิตรภาพ ห่างจากปากทางถนนธนะรัชต์แค่นิดเดียว ประมาณ 2 - 3 กม. อยู่ฝั่งซ้ายที่เดินทางลงจากเขาใหญ่เลี้ยวซ้ายเข้าถนนมิตรภาพมุ่งหน้ากรุงเทพฯ 



ถัดจาก PREMIUM OUTLET ประมาณ 4 - 5 กม. (มุ่งหน้ากรุงเทพฯ) ก็จะเป็น ฟาร์มโชคชัย  เราเลือกเป็นที่ทานอาหารขากลับเสมอ



 ภายใน ร้านโชคชัยสเต็คเฮาส์ เป็นสไตล์ลูกทุ่งคาวบอย แบบ อเมริกัน  แสงไฟสลัวๆ ถ่ายรูปไม่ค่อยสวย



 ถ้าไปช่วงเที่ยง - บ่ายของวันหยุดเทศกาล ก็ต้องรอคิวโต๊ะประมาณ 30 นาที



 สเต็กหมู พอร์คช็อป 



 สเต็คเนื้อวัว  (มีเสียงข้างๆ บอกว่าเลิกถ่ายรูปได้แล้ว กินเถอะ)



 ราคาสเต็คที่ฟาร์มโชคชัย ราคาเริ่มต้นก็ทีละประมาณ 200 กว่าๆ ไปถึงที่ละเป็นพัน 
รสชาติอร่อยถูกปากกว่าร้านอื่นๆ ที่เคยทานมา  คุณภาพก็ใช้ได้่
 เมนูหน้าตาแบบนี้  เช็คบิลออกมา สเต็ค 4 ที่ ทั้งหมู ไก่ เนื้อ รวมกันก็ประมาณ 1300 กว่าบาท
แต่สลัดผักจานนี้ จะบอกว่า ไม่คุ้มกับราคา  คราวหน้าจะได้ไม่สั่ง


กลิ่นขี้ม้า  กลายเป็นสิ่งเดียวที่สร้างความรำคาญให้กับการไป โชคชัยสเต็คเฮาส์ ครั้งหลังสุดนี้ 
ทางฟาร์มได้จัดเอาพื้นที่ว่างบริเวณหลังร้านค้าของฝากใกล้ที่จอดรถทำเป็นพื้นที่ให้เด็กขี่ม้า 
พอเปิดประตูรถออกไปก็ต้องผงะกับกลิ่นขี้ม้าอย่างแรง 
มันคุ้มกันหรือเปล่าระหว่างการหารายได้จากการเอาม้ามาให้ขี่ข้างนอกแบบนี้  กับการไล่ลูกค้าที่มาเดินช็อปของฝากด้วยกลิ่นขี้ม้า
 ....................................

ร้านอาหารฝรั่งประเภทสเต็ค สปาเก็ตตี้ อีกร้านหนึ่ง ที่เคยไปทานขากลับจากเขาใหญ่ริมถนนมิตรภาพก็คือ ร้าน Dairyhome



 ร้าน Dairyhome (แดรี่โฮม มวกเหล็ก ) นี้ตกแต่งแบบสไตล์ยุโรปที่ดูน่ารักๆ 



 วันที่ไปก็ลูกค้าแน่น  ต้องรอโต๊ะเหมือนกัน เค้าเลยมีการจัดที่นั่งรอ และ กิจกรรมเล็กๆ ให้เจ้าตัวเล็กด้วย


 ระหว่างรอก็ถ่ายรูปบรรยากาศร้านไปเรื่อยๆ



 (ภาพบรรยากาศที่รอโต๊ะ ร้าน แดรี่โฮม เขาใหญ่ ใครไม่ทานก็ไปถ่ายรูปได้ เพราะตั้งอยู่ด้านนอกร้าน)


 บ้านน้อยบนต้นไม้ ที่ แดรี่โฮม มวกเหล็ก แบบนี้ เด็กๆ ชอบ เรายังชอบเลย แต่ไม่กล้าขึ้นไป กลัวบ้านร้องว่าน้ำหนักเกินเหมือนลิฟท์



 ได้โต๊ะแล้ว สั่งอาหารมา หน้าตาเป็นอย่างนี้



 ร้านอหารต่างๆ ก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการขยายตัวของคนถ่ายรูปลงเฟชบุค จัดเรียงอาหารให้ดูสวย น่าทาน
คนเห็นรูปจะได้รู้สึกโอ้โห น่าทานจัง 



อาหารหน้าตาประมาณนี้  เช็คบิลออกมา 4 ที่ ประมาณ 1400 กว่าบาท

ถัดจากสเต็คร้าน แดรี่โฮม เขาใหญ่ มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ริมถนนมิตรภาพยังมีร้านสเต็คชื่อดังอีกเจ้าหนึ่ง คือ
ร้านครูต้อ
มีร้านอยู่ทั้งสองฝั่ง ถ้ากลับจากเขาใหญ่ ร้านครูต้อจะอยู่มวกเหล็ก ก่อนลงเนินเขามุ่งหน้าสระบุรี 
ส่วนอีกร้านจะอยู่เยื้องๆ กันฝั่งตรงข้าม ไปจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้านครราชสีมา ขึ้นจากเนินเขา ถึงยอดเนินอยู่ขวามือก่อนถึงมวกเหล็ก

ร้านครูต้อ มีอาหารอื่นๆ นอกจากสเต็คด้วย ราคาไม่แพง  จานใหญ่ ทานอิ่ม 

บล็อกเกอร์ Pierra ได้กรุณาแวะมาเพิ่มเติมว่า
" ....   กระหรี่พั๊ฟของครูต้อ ต้องซื้อพกกลับบ้าน ..... " (ขอบคุณค่ะ)

พูดถึง เขาใหญ่  ยังมีอีกหลายๆ อย่างที่ไม่ได้เขียนถึงและไม่ได้ลงรูปในเอนทรี่้นี้  เช่น ไร่องุ่น สินค้า OTOP จากองุ่น
กิจกรรมผาดโผน  การขี่ม้า  การชมฟาร์ม ฯลฯ 

นาฬิกาสีเขียวนี้ ถ่ายจาก ร้าน Dairyhome  มวกเหล็ก  
  


ส่วนนาฬิกาสีขาวนี้ถ่ายจากรีสอร์ทอีกแห่งหนึ่งที่เขาใหญ่



 การเที่ยวเขาใหญ่ในปัจจุบัน  จึงมีหลายๆ มิติ ไม่ใช่การเที่ยวอุทยาน สัมผัสธรรมชาติ เพียงอย่างเดียวแล้ว

การสร้างจุดเด่นให้คนไปถ่ายรูป กลายเป็นแนวโน้มที่มาแรง และได้ผลอย่างมากในด้านการโปรโมทโดยที่ไม่ต้องเสียค่าโฆษณา

แถมยังช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าได้อีกด้วย 

แล้วเหล่าซือล่ะ  พูดถึงไปเที่ยวเขาใหญ่  เหล่าซือนึกถึงอะไรบ้าง
? ? ?

ความเดิม บันทึก เที่ยวเขาใหญ่
ขอบคุณ คุณนันที ใจเพิ่ม ที่เอื้อเฟื้อข้อมูลร้านอาหาร - ที่พัก





Flag Counter

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น