มาดูทิวทัศน์บนเกาะพีพี ก่อนที่จะไปดูบรรยากาศของตัวเมืองกระบี่ ที่พักของเราในทริปนั้น และถนนสาย 401 ที่เดินทางมาจากสุราษฎร์ธานี
เอนทรี่นี้ต่อจากเอนทรี่ที่แล้วนะคะ อ่านเรื่องเก่าคลิกใน :
เกาะพีพี (1) 泰国甲米皮皮岛 Phi Phi Island (คลิก) http://suwannas.blogspot.com/2013/03/1-phi-phi-island.html
เมื่อเรือใหญ่พาเรามาขึ้นที่ท่าเรือเกาะพีพี และเสียค่าขึ้นเกาะเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้เห็นภาพหาดทรายขาวละเอียด 泰国皮皮岛 Phi Phi Island
และเรือที่ให้บริการนักท่องเที่ยวในบรรยากาศแบบนี้ค่ะ 泰国皮皮岛 Phi Phi Island
เรามาแวะทานอาหารกลางวันแบบบุพเฟ่บนเกาะซึ่งแพ็ตเกจทัวร์รวมให้แล้ว 泰国皮皮岛 Phi Phi Island
อาหารก็พอทานได้อิ่มท้อง แต่ลูกค้าเยอะมาก มีหลายบริษัทพานักท่องเที่ยวมาทานที่นี่ อาหารก็เลยมีการขาดช่วงไปบ้าง
วันนั้นเป็นวันที่ 1 มกราคม 2011 ขนาดเป็นปีที่คนตื่นข่าวหมอดูทำนายว่าจะเกิดสึนามิปลายธันวาคม ไม่ค่อยกล้ามาเที่ยวกัน คนก็ยังเยอะอยู่ ถ้าเป็นเทศกาลปีใหม่ปกติสงสัยต้องยืนทาน
ทานพออิ่มก็ลงมาเดินดูของนิดหน่อย ถ่ายรูป บนเกาะมีซอยเล็กๆ อย่างนี้อยู่ 1 ซอย
ลำสีเขียวนี้เป็นเรือที่เดินทางมาจากภูเก็ต
ท่าเทียบเรือเกาะพีพี
มองดูเรือลำอื่นก็มีนักท่องเที่ยวพอสมควร แต่คงน้อยกว่าปีใหม่ปีอื่นๆ
เป็นช่วงกลางวันที่เรือใหญ่มาจอดให้นักท่องเที่ยวขึ้นเกาะทานอาหารกลางวัน ท่าเรือเลยดูแน่นๆ หน่อย
อีกมุมหนึ่งบนเกาะพีพีดอน
หลังอาหารเที่ยงเราก็ลงเรือออกจากเกาะพีพีดอน หันกลับไปมองและถ่ายรูปนั้นไว้
เรือพาไปดูเกาะพีพีเล ดูถ้ำไวกิ้ง ฯลฯ 泰国皮皮岛 Phi Phi Island
แล้วก็ทอดสมอจอดเรือให้คนลงไปดำน้ำดูประการังน้ำตื้น ไกด์สาธิตการใช้อุปกรณ์ดำน้ำตื้น
คนก็เปลี่ยนชุดโดดลงน้ำกันตูมตูม ดูน่าสนุก ดิฉันก็อยากลงไปดูกับเขาบ้าง
แต่ลงไปได้แค่ประมาณ 3 นาทีก็ต้องเปลี่ยนใจทันที ไม่ไปแล้ว กลัวค่ะ ถอดแว่นแล้วมองไม่เห็นประการังอะไรเลย แถมยังสำลักน้ำทะเลเข้าไปหลายอึก หายใจกับอุปกรณ์นั้นไม่เป็น มีเสื้อชูชีพก็ไม่ช่วย คอมันไม่ยอมพ้นน้ำเลย น้ำทะเลลึกและเค็มมาก เหมือนมีปลาตัวเล็กๆ มาตอดที่ตัว ไม่คุ้มเลย ต้องไปสระผมอาบน้ำอีก
ส่วนเด็กๆ ก็ว่ายตามคนอื่นเขาออกไปไกลจนเราดูไม่ออกว่าคนไหนเป็นลูกเรา ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ห่วงอะไร เพราะลูกหัดว่ายน้ำตั้งแต่เด็ก
มีคลื่นอยู่บ้าง แต่เราคิดว่าไม่แรงนัก สักพักเห็นมีหลายคนโบกมืออยู่ไกลๆ ก็คิดว่าเขาโบกบอกว่ามาสิ มาสิ ตรงนี้สวยนะ
พักนึงต่อมาถึงได้พบว่ามีอะไรผิดปกติ ไกด์รีบคว้าห่วงยางโดดลงน้ำว่ายไปหากลุ่มคนโบกมือ
ปรกฎว่ามีเด็กโดนเม่นทะเลที่ขา ปวดมาก ว่ายกลับมาไม่ค่อยไหว โบกมือขอความช่วยเหลือ แต่คนบนเรือไม่เข้าใจ
อีกคนนึงก็เป็นตะคริวที่ขา ว่ายไม่ไหวเหมือนกัน ลูกดิฉันกลับขึ้นฝั่งในสภาพที่ปากซีด ยังไม่หายจากอาการตกใจ เล่าว่าถูกแรงคลื่นซัดไกลออกไปเรื่อยๆ ว่ายกลับเข้ามาหาเรือไม่ได้ ถึงจะว่ายน้ำเป็นก็สู้แรงน้ำไม่ไหว พวกเขาโบกมือแต่คนบนเรือก็ไม่เข้าใจ ดีที่มีคนเอาห่วงยางออกไปช่วยคนที่โดนเม่นทะเลตำเท้า เลยได้เกาะกลุ่มกลับมาหาเรือได้ แต่ทุกคนก็ดูเหมือนจะกินน้ำไปหลายอึกเหมือนกัน
ตอนนั้นรู้สึกเลยว่า แม้ทะเลจะสวยมาก แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน ต่อให้ว่ายน้ำเป็น ประมาทนิดเดียวอาจหมายถึงชีวิตได้ ถ้าจมลงไปไม่มีคนเห็นแน่นอน ไม่เหมือนการเที่ยวป่าเขา ถึงจะหลงไป ก็ยังมีเวลาอีกหลายวันให้หาทางออกจากป่าหรือรอคนมาช่วยเหลือ แต่การจมน้ำนั้นแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
กลับมาก็บอกลูกว่า แม่เริ่มจะเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมเพื่อนที่เป็นชาวจังหวัดตรังแต่กำเนิดถึงไม่ชอบเที่ยวทะเล และถ้าลูกไปเที่ยวทะเลอีกก็อย่าได้ประมาท เพราะการว่ายน้ำเป็นนั้นอาจช่วยได้บ้างเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันชีวิตเราได้เสมอไป เมื่อมองดูคนที่ลอยคออยู่ในทะเล จะเห็นว่าคนเป็นแค่จุดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับทะเลที่กว้างใหญ่ แรงของคนๆ หนึ่งน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับแรงคลื่นของทะเล
" ฟ้า เป็นของนก น้ำ เป็นของปลา " ก็เป็นอย่างนั้น
.................................................................................
***หลังจากที่โพสต์เอนทรี่นี้ออกไป บล็อกเกอร์สำรวจฟ้า และบล็อกเกอร์ hayyana ได้กรุณาเข้ามาให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องดำน้ำดูประการังน้ำตื้นและวิธีขอความช่วยเหลือในน้ำ
ดิฉันขออนุญาตทั้งสองท่านนำมาเพิ่มเติมไว้ในเอนทรี่นี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ดังนี้
ความคิดเห็นที่ 13 สำรวจฟ้า วันที่ : 28/11/2012 เวลา : 21.04 น.
http://www.oknation.net/blog/PeeThong
ip : 113.53.16.168/192.168.52.83
กระแสน้ำทะเลอันตรายมากครับ ผู้ที่ใส่ชูชีพสวมสน๊อคเกิลก้มดูปะการังจนเพลินโดนกระแสน้ำพัดออกไปไกลเรื่อยๆ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจตั้งสติไม่ได้พยายามรีบกลับเข้าหาที่หมายจนเหนื่อยอ่อนทำให้เกิดตะคริวขึ้นง่าย คนที่ดำน้ำดูปะการังจะต้องเงยหน้าขึ้นมามองบ่อยๆ
ความคิดเห็นที่ 41 hayyana วันที่ : 29/11/2012 เวลา : 22.41 น.
http://www.oknation.net/blog/hayyana
ลอยไปไกลก็ไม่เป็นไรหรอก แค่อย่าตกใจ เดี๋ยวเขาตามไปลากกลับมาเอง
วิธีให้สัญญานขอความช่วยเหลือให้ยืดแขนขวาออกไปข้างๆ แล้วโบกขึ้นลงคล้ายๆ ตีน้ำน่ะครับ
......................................................................
เมื่อนำเด็กขึ้นมาบนเรือแล้ว พวกเราช่วยกันหาวิธีที่จะเอาหนามสีดำๆ ของเม่นทะเลออกจากเท้าของเด็กที่โดน แต่ไม่มีอุปกรณ์ที่จะใช้หนีบหรือคีบมันออกมาเลย บางคนบอกว่าต้องใช้น้ำส้มสายชูราด แต่บนเรือไม่มีน้ำส้มสายชูเลย เด็กร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด พอดีเรามียาพาราเซทติดไปก็ให้ทานยาแก้ปวดไปก่อน พอจะบรรเทาได้บ้าง แต่ก็คงไม่มาก หลังจากเรือกลับถึงฝัง เราเห็นเด็กคนนั้นยังมีสีหน้าที่เจ็บปวดมาก พ่อแม่ต้องประคองเดิน
พอเด็กคลายปวดบ้างและหายร้องไห้แล้ว เราก็มาถึงแถวบริเวณที่เขาเรียกว่าทะเลแหวกที่มีชื่อเสียงของกระบี่
แต่เราไม่ได้ลงไป เรือใหญ่ของพีพีแฟมมีลี่ เพียงแค่พาเราวนไปดูๆ แนะนำว่านี่คือที่ไหน ถ่ายรูป แล้วก็วกเรือกลับเข้าฝั่งเมืองกระบี่
ดวงอาทิตย์กำลังจะตก
เมื่อขึ้นฝั่งที่ท่าเรือแล้ว รถของบริษัทพีพีแฟมมิลี่ ส่งนักท่องเที่ยวกลับไปที่โรงแรมต่างๆ ก็เป็นอันว่า Phi Phi one day trip จบลงด้วยความประทับใจ ดิฉันถือว่าคุณภาพการบริการสมราคา เพราะเขาไม่ได้เก็บแพงมาก ปกติทัวร์บริษัทนี้จะบริการคนไทยเป็นหลัก คนที่ทำหน้าที่เป็นไกด์บนเรือวันนั้นน่ารักมาก บริการดี เคยขอชื่อเขาไว้ ถ่ายรูปไว้ แต่ตอนนี้หาชื่อไม่เจอ
ที่พักของเราทริปนั้นที่กระบี่ ชื่อ โรงแรม The White Pearl เป็นโรงแรมไม่ใหญ่ แต่ตอนนั้นเพิ่งเปิดใหม่ คือเปิดเดือนพฤศจิกายน ก่อนเราไปพักประมาณ 1 เดือน เปิดปุ๊บก็เจอวิกฤตคำทำนายหมอดูเรื่องสึนามิเลย ก่อนไปดิฉันโทรไปสอบถาม คนรับสายน่ารักให้ข้อมูลดี ผิดกับโรงแรมใหญ่ๆ ประเภทที่ไม่ง้อแขก ก็เลยตัดสินใจเลือกพักที่นั่นเลย อีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกพักที่นั่นเพราะไม่ต้องการพักริมหาด เผื่อทะเลพิโรธ
โรงแรมนี้ไม่มีลิฟท์ เขาจัดให้เราพักชั้น 2 พนักงานต้อนรับน่ารักมาก เขาเห็นเรามากัน 4 คน ก็เลยเสนอให้เราพักห้องสูท ห้องกว้างมาก แต่ราคาไม่แพง จำได้ว่าประมาณ 2000 บาท หรือ 2400 รวมอาหารเช้า 4 ที่ พัก 4 คนสบายๆ
(ภาพวาดที่ติดไว้ในห้องพักแต่ละห้อง เป็นภาพบอกเล่าของดีเมืองกระบี่จากฝีมือจิตรกรที่มีชื่อเสียง)
แล้วพนักงานก็รีบไปหาผ้าห่ม - ผ้าขนหนูให้เราเพิ่ม
ห้องสูทนี้ยังไม่มีใครเคยเข้าพักเลย ไดร์เป่าผมก็อยู่ในสภาพที่อยู่ในถุงพลาสติกที่ยังไม่เคยแกะออกใช้
เราจึงตัดสินใจพักที่นี่ 2 คืน แทนที่จะกลับไปพักสุราษฎร์ 1 คืน เลยกลายเป็นว่าวันกลับต้องตีรถยาวจากกระบี่ถึงกรุงเทพฯ
เราอยู่ชั้นสองห้องหัวมุม เปิดผ้าม่านออกมาก็เห็นร้านค้า ขาดอะไรก็ลงไปซื้อ ตอนกลางคืนสามสี่ทุ่มมีรถมาขายโรตี ซอยข้างๆ มีน้ำปั่นขาย เด็กๆ ชอบ
ห้องทานอาหารเช้าชั้นล่างของโรงแรม โรงแรมมีแค่ 4 ชั้น
อาหารเช้าวันแรกเป็นกาแฟ โจ๊ก ปาท่องโก๋ ไข่ดาว ขนมปัง พอแล้ว อิ่มและอร่อย วันที่สองเจ้าของโรงแรมซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสือใจดีมาก สั่งบักกุ๊ดเต๋มาให้ทาน ดิฉันประทับใจมาก ตอนกลับบอกท่านว่าจะแนะนำให้คนอื่นมาใช้บริการ (ไม่ได้ค่าโฆษณาหรอก และไม่ได้พักฟรีด้วย)
ดูข้อมูลได้จากเอนทรี่นี้ โรงแรมใหม่ ในตัวเมืองจังหวัดกระบี่ http://www.oknation.net/blog/chineseclub/2011/03/04/entry-1
เจ้าของคือ อาจารย์จิราภรณ์ ชัยฤทธิ์ ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา จังหวัดกระบี่
สำหรับร้านอาหารในเมือง ตอนเย็นเราไปทานที่ร้าน " น้องโจ๊ก " พอโอเค บริการก็เฉยๆ ราคาอาหารแพง
เขาขนาบน้ำ สัญญลักษณ์ของตัวเมืองกระบี่
นี่ก็สัญญลักษณ์ของตัวเมืองกระบี่ เป็นรูปวานรถือโคมไฟสัญญาณจราจรตามสี่แยกไฟแดงไฟเขียว ซึ่งเราไม่เคยเห็นที่จังหวัดอื่นมาก่อน
กระบี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่ผู้คนเป็นมิตร สมกับคำขวัญประจำจังหวัดของที่นี่ " กระบี่เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก "
คำขวัญท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่
แหล่งถ่านหิน ถิ่นหอยเก่า เขาตระหง่าน ธารสวย
รวยเกาะ ปลูกปาล์ม งามหาดทราย ทะเลสวยสด
มรกตอันดามัน สวรรค์เกาะพีพี
ย้อนกลับมาดูตอนเดินทางมาจากสุราฎร์บ้าง ว่าเราใช้เส้นทางไหน
เราขับรถออกจากกรุงเทพฯ ตอนบ่ายวันที่ 30 ธันวาคม 2010 แวะพักที่ตัวเมืองชุมพร 1 คืน วันรุ่งขึ้นเดินทางผ่านสุราษฎร์ฯ ผ่านสี่แยกที่จะเลี้ยวไปจังหวัดระนอง เราตรงไปตามเส้นทาง 41 จากนั้นเลี้ยววกเข้าถนน 401 ที่เรียกว่าเส้นเซาเทิร์นซีบอร์ด เส้นทางนี้ตรงมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับทางหลวงหมายเลข 4 ที่ไประนอง (หลายร้อยโค้งมาก เคยไป) อีกเส้นหนึ่งคือเส้นที่ผ่านเขื่อนเชี่ยวหลาน ก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา (เคยไปเหมือนกัน)
เส้นทาง 401 ใช้ความเร็วได้ แต่ควรเดินทางกลางวัน เพราะรถน้อยมาก ถ้ารถเกิดอะไรขึ้นจะลำบาก สองข้างทางไม่มีชุมชน ปั๊มก็ไม่มี ควรเติมน้ำมันให้เต็มถังตั้งแต่เริ่มออกจากสุราษฎร์ เสบียงอาหารในรถเตรียมไว้บ้าง ไม่ควรทานน้ำเยอะ ระหว่างทางไม่มีห้องน้ำ
ทิวทัศน์สองข้างทางสวยมาก มีภูเขาหินชันสลับกับต้นปาล์ม แต่เนื่องจากฝนตก และรถวิ่งเร็ว เก็บรูปมาไม่สวย
ปิดท้ายวันนี้ด้วยเพื่อนร่วมเดินทางทั้งสองนี้ค่ะ เป็นปกติของทริปที่ต้องมีการพาเพื่อนมาด้วย
ทริปนั้นเราใช้งบไม่เยอะนะคะ ตอนหน้าจะมาเล่าเรื่องไปพักรีสอร์ทเล็กๆ น่ารักที่ชุมพร และร้านอาหารทะเลอร่อยที่ปากน้ำตาปี
พระธาตุไชยา
tag: เกาะพีพี กระบี่ 泰国皮皮岛 Phi Phi Island
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น